แนวทางการแก้ปัญหาหมอกควันของจังหวัดนครสวรรค์ - Nakhonsawan Post

Breaking

วันอังคารที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2562

แนวทางการแก้ปัญหาหมอกควันของจังหวัดนครสวรรค์


ชาวนครสวรรค์และจังหวัดใกล้เคียง  คงได้รับผลกระทบเหมือน ๆ กัน กับสถานการณ์หมอกควันที่เกิดขึ้นในช่วงหน้าแล้งของทุกปี   ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการเผาพืชไร่ประเภท อ้อย และ ข้าว   ทำให้เกิดกลุ่มหมอกควันที่เป็นพิษต่อการหายใจ  และส่งผลให้บางท่านเกิดการเจ็บป่วย เช่น เจ็บคอ แสบจมูก หรือ มีอาการไอ

     ชาวกรุงเทพฯ ก็ได้รับผลกระทบคล้าย ๆ กัน  และมีการออกมาตรการ "ช่วยเหลือตัวเอง" โดยการซื้อหน้ากากป้องกันฝุ่นละอองขนาดเล็ก หรือที่เรียกกันว่า PM 2.5   มาใส่กันเองจนหน้ากากดังกล่าวขาดตลาด  ส่วนทางภาครัฐก็ไม่สามารถพึ่งหวังอะไรได้เลย  เพราะปัญหาลักษณะดังกล่าวนี้ก็เป็นมาหลายปี และเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดิม ๆ ตลอด

     การแก้ไขในส่วนของจังหวัดนครสวรรค์และจังหวัดใกล้เคียง  น่าจะเน้นไปที่การเผาอ้อยเพื่อตัดส่งโรงงาน  กับการเผาตอข้าวเพื่อปลูกรอบใหม่  โดยจะต้องมีมาตรการที่ชัดเจน เด็ดขาด อาทิ
  • ออกมาตรการให้โรงงานน้ำตาลงดรับอ้อยที่ผ่านการเผาทุกกรณี  หรือถ้าจะรับก็ให้ราคาเพียงครึ่งเดียว  เพื่อจูงใจให้เกษตรกรไม่เผาไร้อ้อย อันจะทำให้เกิดมลพิษ เป็นที่เดือดร้อนกับประชาชนทั่วไป
  • ให้เงินช่วยเหลือเกษตรในกรณีที่ไม่เผาไร่ นา  โดยต้องมีการตรวจสอบและเฝ้าระวังอย่างจริงจัง  อาจตั้งกลุ่มเป็นตำบล อำเภอ  หากไม่มีการเผาเลยให้เงินช่วยเหลือมากกว่าที่มีการเผา 
  • นำกฎหมายที่เกี่ยวข้องมาใช้ลงโทษ เช่น ป.อาญา มาตรา 220  ผู้ใดกระทำให้เกิดเพลิงไหม้แก่วัตถุใดๆ แม้เป็นของตนเอง จนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่นหรือทรัพย์ของผู้อื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี และปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นสี่พันบาท หรือจะใช้ พ.ร.บ.การสาธารณสุข พ.ศ. 2535 มาตรา 25(4) ร่วมด้วยก็ได้  เมื่อทำเป็นตัวอย่างแล้วต่อไปก็จะได้ไม่กล้าทำในส่งที่เดือดร้อนต่อส่วนรวม
  • จัดตั้งกลุ่มเฝ้าระวังระดับตำบล อำเภอ มีมาตรการป้องกันไฟไหม้ และการรับมือหากเกิดเพลิงไหม้ได้อย่างรวดเร็ว  ไม่ให้กลุ่มต้องเดือดร้อน

     ตัวเกษตรกรเองต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคมส่วนรวม  ไม่ใช่นึกจะทำอะไรกับไร่นาของตนก็ทำได้ เพราะอย่างที่เห็น  รายได้ของเกษตรกรต้องเอาสุขภาพของคนเป็นล้านเข้าแลก  มันไม่คุ้มกันแน่นอน  นอกจากกรณีเผาพืชไร่ ข้าว แล้วยังมีมาตรการอื่น ๆ ประกอบอีก เช่นเพิ่มพื้นที่ปลูกต้นไม้ใหญ่ในเมือง , ตรวจสอบควันดำของรถ , ควบคุมการก่อสร้างให้เป็นไปตามมาตรฐานสุขอนามัย ฯลฯ  

     โดยหลักการคือต้องคำนึงถึงสุขภาพ และสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ  ไม่ควรจะมีธุรกิจ หรืออาชีพใด ที่สามารถทำลายสุขภาพของผู้อื่นได้อย่างเสรี  สุดท้ายแล้วภาครัฐ และครัวเรือน จะต้องมาเสียเงินโดยไม่จำเป็นกับค่ารักษาพยาบาล  เรื่องอย่างนี้ทำไมผู้บริหาร ผู้มีอำนาจคิดกันไม่ได้  คงจะทำงานกันอยู่แต่ในห้องแอร์ มีเครื่องฟอกอากาศ  ไปไหนก็มีรถนำ  ไม่เคยต้องมาเดินถนนกับคนทั่วไป ..

     เรื่องแบบนี้ต้อง ผู้ว่าราชการจังหวัด เท่านั้นที่เป็นคนสั่งการ  เพราะมีหน่วยงานหลายหน่วยเข้ามาเกี่ยวข้อง  ถ้าผู้ว่ายังไม่ทำ  ก็สมควรที่จะผลักดันให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด ให้คนที่เห็นความสำคัญของประชาชนในพื้นที่เป็นคนทำจะดีกว่า ว่ามั๊ย 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น